18 ก.พ.64 – นายไกรทอง เหง้าน้อย ผู้จัดการโครงการเสริมสร้างศักยภาพกลุ่มคนไร้สัญชาติที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและสร้างความมั่นทางอาหารด้วยระบบนวัตกรรมเกษตรยั่งยืน ชุมชนบนพื้นที่สูง อำเภอแม่จัน อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา(พชภ.)เปิดเผยว่า สถานการณ์โควิด19 ที่ระบาดอยู่ทั่วทุกภูมิภาค ได้ส่งผลกระทบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ที่ยากจะกลับไปเหมือนเดิม ในประเทศไทยมีการระบาดแม้ไม่มากถ้าเปรียบเทียบกับในหลายประเทศทั่วโลกแต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับมากมายมหาศาลกับผู้คนทุกระดับ ซึ่งจังหวัดเชียงรายเป็นจังหวัดหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19 ด้วยมีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งประเทศพม่า ประเทศลาว และมีการเข้ามาของคนจีนในประเทศเพื่อนบ้าน
“ที่ผ่านมาภาครัฐได้ออกมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบไว้หลายระดับ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือกลุ่มคนชายขอบ กลุ่มคนที่ไร้สัญชาติ คนเหล่านี้ไม่ได้รับการเยียวยาใดๆจากหน่วยงานภาครัฐ ทั้งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ความเสี่ยงรอบด้าน เพียงเพราะไม่มีบัตรแสดงสถานะบุคคลที่เป็นคนไทย”นายไกรทอง กล่าว
ผู้จัดการโครงการฯกล่าวว่า จากข้อมูลจำนวนประชากรคนไร้รัฐไร้สัญชาติ ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมการปกครองปี2562 พบว่าในจังหวัดเชียงราย มีจำนวน 96,960 คน คิดเป็น โดยแยกออกเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ 10% กลุ่มเด็กเยาวชนอายุ18 ปี คิดเป็น18% อายุ18-60 ปี คิดเป็น71% แบ่งเป็นผู้หญิง 54% ผู้ชาย46% จึงเป็นกลุ่มคนที่มีความเปราะบางเป็นอย่างมากต่อสถานการณ์โควิด19 ระบาด มีความจำเป็นต้องได้รับการเยียวยาและเสริมศักยภาพให้สามารถปรับตัวอยู่ได้ภายใต้สถานการณ์โควิดในระยะยาว
นายไกรทองกล่าวว่า พชภ.ได้ดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพ ส่งเสริมให้เกิดการแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูคุณภาพชีวิต ของครอบครัวผู้ไร้สัญชาติใน 4 ชุมชนหลักเพื่อเป็นต้นแบบ เพื่อให้กลุ่มผู้ไร้สัญชาติสามารถปรับตัวและสร้างภูมิคุ้มกันระยะยาว และเพื่อฟื้นคืนชีวิตความเป็นอยู่ให้เหมือนเดิมหรือดีกว่าเดิม สามารถพึ่งตนเองได้ โดยมีแหล่งผลิตอาหารไว้บริโภคในครัวเรือน และช่องทางที่สามารถสร้างรายได้เพิ่ม โดยโครงการดังกล่าวเป็น 1 ใน 24 โครงการระยะสั้น ภายใต้โครงการ “การเสริมสร้างการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสังคม ความมั่นคงของมนุษย์และการฟื้นคืนสู่สภาพปกติในประเทศไทยในบริบทของการระบาดใหญ่ของ COVID-19″ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังและปกป้องความคืบหน้าเพื่อนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ(UNDP) ประจำประเทศไทยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลญี่ปุ่น
นายไกรทองกล่าวว่า ขณะนี้ได้ดำเนินการใน 4 หมู่บ้านที่ล้วนเป็นชุมชนชาติพันธุ์ ทั้ง ชาติพันธุ์ลาหู่ ลีซู อาข่า ได้แก่บ้านป่าคาสุขใจ บ้านพนาสวรรค์ บ้านจะบูสี ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง และบ้านเฮโก ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน โดยได้มอบปัจจัยการผลิตที่เป็นความต้องการของชุมชนและเหมาะสมกับการทำเกษตรบนพื้นที่สูงที่มีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่และแหล่งน้ำ ทั้งการเลี้ยงไก่กระดูกดำ การเลี้ยงหมูดำ และการปลูกพืชผักอาหาร รวมทั้งการปลูกผลไม้ยืนต้น และพชภ.ยังได้นำร่องการพัฒนานวัตกรรมการปลูกผักเลี้ยงปลาในแบบ อควอโพนิคที่สามารถสร้างแหล่งอาหารในครัวเรือนได้และเป็นแนวทางสร้างรายได้ในระยะยาวต่อไป
นายอาหลู งัวยา ผู้นำหมู่บ้านเฮโกซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ลีซู กล่าวว่า ชุมชนได้รับการสนับสนุนจากโครงการฯในเรื่องการเลี้ยงหมู เนื่องจากเนื้อหมูเป็นอาหารหลักที่สำคัญของชาวลีซอ ทั้งในการประกอบพิธีไหว้เจ้าและไหว้บรรพบุรุษโดยส่วนมากใช้หมูตัวผู้ ดังนั้นชาวบ้านจึงสนใจการเลี้ยงหมูโดยในช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 สมาชิกในชุมชนยังไม่ค่อยได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐตามมาตการต่างๆที่ออกมาเท่าที่ควร เพราะบางส่วนไม่มีบัตรประชาชน บางส่วนไม่มีโทรศัพท์และบางส่วนทำไม่เป็น ดังนั้นการที่ พชภ.และ UNDP เข้ามาสนับสนุนให้ชาวบ้านเลี้ยงหมูจึงเป็นเรื่องที่ดีมาก
นายอาหลูกล่าวว่า การเลี้ยงหมูจะช่วยเพิ่มพื้นที่ป่า เนื่องจากอาหารหลักที่ใช้เลี้ยงหมูคือต้นกล้วย ที่ผ่านมาชาวบ้านบางส่วนได้ปลูกข้าวโพดและใช้สารเคมีทำให้กลายเป็นภูเขาหัวโล้น แต่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนมาเป็นการปลูกต้นกล้วยแทนทำให้ผืนดินเกิดความชุ่มชื้นเพราะต้นกล้วยสามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ดี ทำให้พืชอื่นๆเจริญเติบโตด้วยโดยเฉพาะไม้ผลต่างๆ ทั้งมะม่วง อาโวคาโด ลิ้นจี่ ทุเรียน โดยหมู่บ้านเฮโกเป็นแหล่งต้นน้ำ การส่งเสริมการเลี้ยงหมูจึงเป็นการส่งเสริมให้ฟื้นฟูต้นไม้ใหญ่ในแหล่งต้นน้ำด้วย
ขณะที่นางอาเซอะ เซอหมื่อ แม่เฒ่าวัย 73 ปี ชาวอาข่า หมู่ 7 ต.แม่สลองใน อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย กล่าวทั้งน้ำตาหลังจากได้รับเงินสนับสนุนในการประกอบอาชีพเลี้ยงไก่ ว่าตนมีฐานะยากจนอาศัยอยู่กับหลานอายุ 5 ขวบโดยพ่อแม่ของหลานได้หายหน้าหายตาไม่ยอมส่งเสียลูก ขณะที่ตนก็ไม่มีอาชีพหลัก ทำให้แทบไม่มีเงินซื้อข้าวกินต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านอยู่เสมอ ส่วนกับข้าวก็อาศัยเก็บผัก ที่ผ่านมาไม่เคยได้รับการช่วยเหลือใดๆจากภาครัฐเพราะตนไม่มีบัตรประชาชน
“ยายอยู่ในประเทศไทยมาแล้ว 35 ปี แต่ไม่ได้บัตรประชาชนเพราะเกิดในประเทศเพื่อนบ้าน แต่ลูกๆได้บัตรประชาชนหมดแล้วเพราะเกิดในไทย ช่วงหลังยายป่วยบ่อยๆ เจ็บขาและหายใจเหนื่อย แต่ไม่มีเงินไปหาหมอ เพราะไปหาหมอครั้งหนึ่งต้องจ่ายเงินเยอะ เนื่องจากไม่สามารถใช้สิทธิ 30 บาทได้”นางอาเซอะ กล่าว และว่ารู้สึกดีใจที่มีโครงการช่วยเหลือในลักษณะนี้